บทบาทของคอมพิวเตอร์ในการสอน
***ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา และความสำคัญนี้ได้ทวีมากยิ่งขึ้นในอนาคต คอมพิวเตอร์ได้เข้าไปมีบทบาทในทุกวงการอาชีพ โดยเฉพาะกับงานที่มีข้อมูลมาก ๆ และกำลังจะกลายเป็นเครื่องใช้สามัญในบ้านเหมือนกับเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานต่าง ๆ จำแนกได้ดังนี้
1. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาคอมพิวเตอร์ช่วยในงานบริหาร เช่น การคิดคะแนน ทำทะเบียนบุคลากร คอมพิวเตอร์ช่วยในงานบริการ เช่น งานห้องสมุด งานแนะแนว คอมพิวเตอร์ช่วยในการเรียนการสอน
2. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการเขียนแบบ คอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมหุ่นยนต์ให้ทำงาน คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณโครงสร้าง วางแผน ควบคุมการก่อสร้าง
3. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ช่วยในการเปรียบเทียบ คัดเลือกข้อมูล คอมพิวเตอร์ช่วยในการทดลองที่เป็นอันตราย คอมพิวเตอร์ช่วยในการเดินทางของยานอวกาศ การถ่ายภาพระยะไกล และการสื่อสารผ่านดาวเทียม
4. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจคอมพิวเตอร์ช่วยในการวางแผนธุรกิจ คอมพิวเตอร์ช่วยในการประเมินสถานการณ์ทาง เศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างแม่นยำ คอมพิวเตอร์ช่วยงานธุรการ เช่น งานพัสดุ งานภาษี การทำจดหมายโต้ตอบ
5. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานธนาคารคอมพิวเตอร์ช่วยในการรับฝากและถอนเงิน ที่เป็นภารกิจประจำของธนาคาร คอมพิวเตอร์ช่วยในการคิดดอกเบี้ยในอัตราต่างๆ คอมพิวเตอร์ช่วยให้ลูกค้า ฝากถอนเงินด่วน หรือโอนเงินจากเครื่องได้โดยอัตโนมัติ (ATM)
6. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในร้านค้าปลีกห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์คิดเงินแทนเครื่องคิดเลข การอ่านรหัสด้วยเครื่องอ่าน (Barcode)
7. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานสังคมศาสตร์คอมพิวเตอร์ช่วยในงานวิจัย เพื่อให้ได้คำตอบออกมาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง
8. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในวงการแพทย์คอมพิวเตอร์ช่วยในการบันทึก ค้นหาทะเบียนประวัติผู้ป่วย คอมพิวเตอร์ช่วยในการวินิจฉัยโรค เช่น ตรวจคลื่น สมอง บันทึกการเต้นของหัวใจ คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณหาตำแหน่งที่ถูกต้อง ของอวัยวะก่อนการผ่าตัด
9. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในการคมนาคม และสื่อสารคอมพิวเตอร์ช่วยในการจองตั๋วเครื่องบิน คอมพิวเตอร์ช่วยในการเก็บข้อมูล สถิติของผู้โดยสาร คอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมการจราจรทางอากาศ
10. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการวางแผนการผลิต และควบคุมการผลิต คอมพิวเตอร์ช่วยโรงงานกลั่นน้ำมัน ตรวจวัดการส่ง น้ำมันดิบ คอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมการส่งแก๊สธรรมชาติ ไปตามท่อ โดยมีระบบควบคุมความดันของแก๊ส
11. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในวงราชการคอมพิวเตอร์ช่วยในการทำทะเบียนราษฎร์ คอมพิวเตอร์ช่วยในการนับคะแนนเลือกตั้ง คิดภาษี อากร การบริหารทั่วไป คอมพิวเตอร์ช่วยในการรวบรวมข้อมูลและสถิติ การบริหารงานทั่วไปของหน่วยงานราชการ ทำให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ยิ่งขั้น
ที่มา: http://www.promma.ac.th/COMPUTER/techno/History/kind.html
1. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อทบทวนบทเรียน (Tutor) บางรายวิชาเราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทบทวนบทเรียนได้ในโปรแกรมทบทวนบทเรียนคอมพิวเตอร์จะเสนอสิ่งเร้า อาจจะเป็นข้อความ คำถาม รูปภาพหรือกราฟิก และอื่นๆ ที่เร้าให้ผู้เรียนตอบสนองและมีการประเมินผล
2. การใช้เป็นเครื่องมือ (Tool) คอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการเรียนได้ เช่น ใช้ในการคำนวณ การประมวลผลข้อมูล การวิเคราะห์ทางสถิติ และการสร้างกราฟจากข้อมูล เป็นต้น
3. ใช้เป็นเครื่องฝึก (Tutee) การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องฝึกจะทำให้ครูและผู้เรียนได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์ รวมทั้งได้เรียนรู้ถึงการสร้างโปรแกรมหรือการประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ได้โดยตรงดร. ไชยยศ เรืองสุวรรณ http://vod.msu.ac.th/0503760
***1. บทบาทของคอมพิวเตอร์ในการสอน :
1. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อทบทวนบทเรียน (Tutor) บางรายวิชาเราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทบทวนบทเรียนได้ในโปรแกรมทบทวนบทเรียนคอมพิวเตอร์จะเสนอสิ่งเร้าอาจจะเป็นข้อความ คำถาม รูปภาพหรือกราฟิกและอื่นๆ ที่เร้าให้ผู้เรียนตอบสนองและมีการประเมินผล
2. การใช้เป็นเครื่องมือ (Tool) คอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการเรียนได้เช่น ใช้ในการคำนวณ การประมวลผลข้อมูลการวิเคราะห์ทางสถิติ และการสร้างกราฟจากข้อมูล เป็นต้น
3. ใช้เป็นเครื่องฝึก (Tutee)
การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องฝึก จะทำให้ครูและผู้เรียนได้เรียนรู้และมี ประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์ รวมทั้งได้เรียนรู้ถึงการสร้างโปรแกรมหรือการประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง
4 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิศวกรรม คอมพิวเตอร์สามารถจะทำงานในด้านวิศวกรรมได้ตั้งแต่ขั้นตอนการลอกเขียนแบบจนกระทั่งถึงการออกแบบโครงสร้างของสถาปัตยกรรมต่างๆ ตลอดจน ช่วยคำนวณโครงสร้าง ช่วยในการวางแผน และควบคุมการสร้าง
5 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์สามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น เครื่องมือวิเคราะห์สารเคมีเครื่องมือการทดลองต่าง ๆ แม้กระทั่งการเดินทางของยานอวกาศต่างๆ การถ่ายพื้นผิวโลกบนดาวอังคาร เป็นต้น
6. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากมาย มีความรวดเร็วและถูกต้อง ทำให้สามารถได้ข้อมูลที่ช่วยให้สามารถตัดสินใจในการ ดำเนินธุรกิจตลอดจนงานทางด้านเอกสารงานพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น
7 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานธนาคาร ในแวดวงธนาคารนับได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะธนาคารจะมีการนำข้อมูล <> เป็นประจะทุกวัน การหาอัตราดอกเบี้ยต่าง ๆ นอกจากนี้การใช้บริการ ATMซึ่งลูกค้าสามารถฝากถอนเงินได้จากเครื่องอัตโนมัติ ซึ่งทำให้สะดวกแก่ผู้ใช้บริการเป็นอย่างยิ่งและเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน
8 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในร้านค้าปลีก ปัจจุบันเห็นได้ว่า ได้มีธุรกิจร้านค้าปลีกหรือที่เรียกว่า "เฟรนไซน์" เป็นจำนวนมาก ได้มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการให้บริการลูกค้า เช่น ให้บริการชำระ ค่าน้ำไฟฟ้าค่าโทรศัพท์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีการ online ระหว่างร้านค้าเหล่านั้นกับหน่วยงานนั้นๆ เพื่อสามารถตัดยอดบัญชีได้ เป็นต้น
9. บทบาทคอมพิวเตอร์ในวงการแพทย์ คอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ในการเก็บประวัติของคนไข้ควบคุมการรับและจ่ายยาตลอดจนยังอยู่ในอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือผ่าตัด บันทึกการเต้นของหัวใจ ตรวจคลื่นสมอง และด้านการหาตำแหน่งของอวัยวะก่อนการผ่าตัดเป็นต้น
10 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในการคมนาคม และการสื่อสาร ในยุคปัจจุบัน เราเรียกว่าเป็นยุคที่เป็นการสื่อสารแบบไร้พรมแดน จะเห็นได้ว่ามีการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆในเครือข่ายสาธารณะที่เรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถที่จะสื่อสารกับทุกคนได้ทั่วมุมโลกโดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้และยังมีโปรแกรมที่สามารถจะใช้ในการพูดคุยกันได้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกันใช้คุยกันหรือจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สื่อสารกับเครื่องโทรศัพท์ที่บ้านหรือที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการส่ง pager ในปัจจุบันสามารถส่งทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องลูกได้ เป็นต้น สำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ในทางโทรคมนาคมจะเห็นว่าปัจจุบันการจองตั๋วเครื่องบินจะมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการจองตั๋วผ่านทาง Internet ด้วยตนเอง เห็นได้ว่าเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการ และนอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายของสายการบินทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกจองได้ตามสายการบินต่าง ๆ เป็นต้น
11 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านอุตสาหกรรม ในวงการอุตสาหกรรมนับได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การวางแผนการผลิตกำหนดเวลาการผลิต จนกระทั่งถึงการผลิตสินค้าควบคุมระบบ การผลิตทั้งหมด ในรายงานทางอุตสาหกรรมได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการควบคุมการ ทำงานของเครื่องจักร เช่น การเจาะ ตัดไส กลึง เป็นต้น ตลอดจนโรงงานผลิตรถยนต์ ก็จะใช้หุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ในการทาสี พ่นสี รวมถึงการประกอบรถยนต์ เป็นต้น
12 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในวงราชการ คอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้ในงานทะเบียนราษฎร์ช่วยในการนับคะแนนการ เลือกตั้ง และการประกาศผลเลือกตั้งการคิดภาษีอากร การเก็บข้อมูลสถิติสัมมโนประชากร การเก็บเงินค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าใช้โทรศัพท์ เป็นต้น
เรียบเรียงโดย : มันทนา ไปเร็ว, สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
***แนวทางการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในการสอน
ส่วนใหญ่มีความเข้าใจกันว่า การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการศึกษา หมายถึง คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนเท่านั้น ซึ่งความคิดนี้ไม่ถูกต้อง การที่คนทั้งหลายคิดเช่นนี้ อาจเป็นเพราะสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ
1. การขาดการรู้หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และด้วยความเชื่อว่า คอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทในสังคมและให้ข้อมูลสารสนเทศทุกอย่างได้
2. เพราะคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนได้ถูกพัฒนาให้สามารถสอนบางเนื้อหาของรายวิชาที่สามารถตอบสนองต่อจุดประสงค์ของเนื้อหานั้นๆ ได้ดีจึงทำให้ผู้คนมองเห็นจุดเด่นของการนำคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนมาใช้ความคิดดังกล่าวย่อมส่งผลเสียต่อไป ถ้ายังมองเห็นเพราะการใช้คอมพิวเตอร์ในวงการศึกษานั้นสามารถใช้ได้กว้างขวาง การใช้คอมพิวเตอร์ในการศึกษาเป็นเพียงคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน ส่วนการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนนั้นเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการใช้คอมพิวเตอร์ และจะใช้ได้ผลดีถ้าใช้ในการเสริมการเรียนการสอน และเป็นการศึกษาแบบกลุ่มเล็กหรือแบบเอกัตบุคคล เป็นความเข้าใจที่ผิดในการคิดว่า คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนสามารถทำการสอนแทนครูได้โดยตลอด ผู้ที่มีความเข้าใจเช่นนี้เนื่องจากยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะและความสามารถของคอมพิวเตอร์ในด้านการโต้ตอบกับผู้ใช้และขาดความเข้าใจธรรมชาติ
ดร.ไชยศ เรืองสุวรรณ
*****การพัฒนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอนระบบมัลติมีเดีย (Multimedia CAI)
การพัฒนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ระบบมัลติมีเดียสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างมากเน้นในเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบทเรียนควรมีการต้องคำถามว่าอะไรคือการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ในบทเรียนที่จะนำเสนอและมีระดับของกิจกรรมปฏิสัมพันธ์ระดับใด อาจเป็นการกำหนดให้ผู้เรียนเรียนที่ละขั้นอย่างรู้ผลการเรียนแต่ละขั้นตามลำดับ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับไฮเปอร์มีเดีย ในลักษณะเชื่อมโยง(Link) หรือมีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะรูปแบบเต็มของการมีส่วนร่วมเสมือนผู้เรียนที่ไปอยู่ในสถานการณ์การเรียนที่กำหนดขึ้น นอกจากเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์แล้วการพัฒนาต้องคำนึงถึงการออกแบบบทเรียน CAI ระบบมัลติมีเดียว่าจะกำหนดให้เป็นแบบเส้นตรง (Lisecar) หรือแบบสาขา (Branching) ซึ่งมีทั้งแบบ Simple และแบบ Complex โดยการพัฒนาโปรแกรมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องทำความตกลงให้เป็นที่เข้าใจตรงกันโดยยึดวัตถุประสงค์ในการพัฒนาบทเรียนและหลักการของกระบวนการจิตวิทยา (Cognition psychology) เป็นหลักการพัฒนาบทเรียนช่วยสอน (CAI) ระบบมัลติมีเดีย
****การพัฒนาคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียพรีเซ็นเตชั่นทางการศึกษา (Computer Multimedia Presentation)การพัฒนาบทเรียนหรือเนื้อหาให้อยู่ในรูปแบบของคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียพรีเซ็นเตชั่น เป็นการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่จะนำเสนอเนื้อหาข้อความ ภาพนิ่งหรือสไลด์, ภาพเคลื่อนไหว (Animation) วีดีโอ, เสียงประกอบ สำหรับใช้ในสถานการณ์การเรียนการสอนที่ผู้สอนเป็นผู้บรรยาย และใช้คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียพรีเซ็นเตชั่น ประกอบการบรรยายบทเรียนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และตามรูปแบบการเรียนการสอน (Instructional Design) โดยนำหลักปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอน, คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียพรีเซ็นเตชั่นและผู้เรียนมาใช้เป็นสถานการณ์ในการนำเสนอ โดยทั่วไปปัจจุบันมักใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์ Power Point Presentationเป็นโปรแกรมหลักในการนำเสนอ (Presentation) บทเรียนสำหรับการพัฒนาคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียพรีเซ็นเตชั่นทางการศึกษานี้ต้องคำนึงถึงรายละเอียดในการพัฒนารูปแบบของมัลติมีเดียในส่วนต่าง ๆ ดังนี้
1. ในด้านเนื้อหาของบทเรียน การพัฒนาน้องสามารถทำให้ผู้ดูมีความเชื่อในเนื้อหาให้ข้อเท็จจริงของเนื้อหาและกำหนดรูปแบบการนำ เสนอเนื้อหาในการสอนในเป็นตามลำดับขั้นตอน
2. การพัฒนาควรเอาข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วีดีโอ หรือเสียงประกอบเอามารวมกันให้เกิดความเหมาะสมในการนำเสนอเนื้อหาหรือเรียกร้องความสนใจ
3. การพัฒนาควรเชื่อมโยงข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ หรือเสียงประกอบมาเชื่อมโยงกันในการนำเสนอเป็นลำดับขั้นตอนที่กำหนด
4. การพัฒนาควรคำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างที่มีการสอนบรรยาย กับการใช้คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียที่จัดทำขึ้นต่อผู้เรียน
5. การพัฒนามีการใช้เสียงประกอบเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือนำเสียงของจริงเข้ามาประกอบในสถานการณ์นำเสนอเนื้อหา
http://www.library.stjohn.ac.th/
*****ความสำคัญของครูต่อคอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอน
ฮาร์ดเล่ย์ (Hartley. 1980 : 130) ได้กล่าวถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนคอมพิวเตอร์และครู ดังนี้ "ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนแบบทบทวนที่ใช้คำถามเป็นสิ่งเร้าผู้เรียน จะต้องปฏิบัติ กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยการที่คอมพิวเตอร์เสนอคำถามผ่านทางจอภาพและให้ผู้เรียน ตอบสนองผ่านทางแป้นพิมพ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะประเมินการตอบสนองของผู้เรียนให้ผลย้อนกลับแก่ผู้เรียนและนำข้อมูล การตอบสนองของผู้เรียนได้จากข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนเก็บไว้ ในแผ่นดิสก์ จากนั้นก็จะพิจารณาเนื้อหาต่างๆ ที่ผู้เรียนได้เรียนไปแล้วว่า แต่ละหัวข้อเนื้อหามีความยากง่ายเหมาะสมดีหรือไม่ แล้วจึงปรับปรุงโปรแกรม โดยพิจารณาจากผลการตอบสนองของผู้เรียนที่อาจ แสดงถึงความเข้าใจเนื้อหาในบางตอนหรือครูอาจแก้ไขลำดับเนื้อหาที่ยังไม่เหมาะสมต่อไป" นอกเหนือจากที่ฮาร์ดเล่ย์อธิบายไว้ข้างต้น ซึ่งครูจะต้องปฏิบัติเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียน การสอนแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่ครูจะต้องรับผิดชอบ เช่น การเลือกโปรแกรมที่จะนำมาใช้พิจารณาถึง ความเหมาะสมของโปรแกรมกับผู้เรียน วัสดุที่ใช้สนับสนุนโปรแกรม การวางแผนจัดกลุ่มผู้เรียนเพื่อทำ กิจกรรมและการติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของผู้เรียน (ถ้ามี) สิ่งเหล่านี้เป็นภารกิจที่ครูจะต้องปฏิบัติ เมื่อมีการใช้คอมพิวเตอร์ในชั้นเรียน นอกจากนี้ ครูยังจะต้องมีความรู้และทักษะในเรื่องเทคนิคคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการใช้คอมพิวเตอรได้ในบางโอกาส สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ลดคุณค่าและสถานภาพ ความเป็นครูลงแต่อย่างใด แต่จะช่วยเพิ่มคุณภาพของครูให้สมบูรณ์แบบครบถ้วนยิ่งขึ้น ในบางครั้ง ครูก็จะต้องปฏิบัติเหมือนกับเป็นนักวิจัยด้านคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนที่ใช้สิ่งต่างๆ มาจำลองเข้ากับบทบาทของตนเอง ในอนาคต บทบาทของครูอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่มิได้ลดคุณค่าและสถานภาพของครูลง แต่อย่างใด ในขณะที่สิ่งท้าทายความสามารถของครูในขณะนี้คือ การนำระบบข้อมูลสารสนเทศมาใช้ให้เป็นประโยชนต่อการเรียนการสอนให้มากที่สุด และสิ่งที่ท้าทายต่อไปก็คือ ครูจะต้องเป็นผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนการสอนได้อย่างเต็มความสามารถ
ดร.ไชยยศ เรืองสุวรรณ
******รูปแบบของคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนอาจมีหลายวิธี ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับรูปแบบและประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน ซึ่งคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนมีอยู่หลายรูปแบบที่สำคัญ ได้แก่ 1. แบบบทเรียนโปรแกรม (Programmed-Instruction Based CAI) เป็นการนำเอาวิธีการสร้างบทเรียนโปรแกรมมาพัฒนาเป็นบทเรียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยการเปลี่ยนรูปแบบของบทเรียนโปรแกรมที่เป็นเอกสารสิ่งพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้กับเครื่องสอน (Teaching Machine) มาเป็นโปรแกรมที่ใช้กับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.1 โปรแกรมแบบการฝึกและการปฏิบัติ โปรแกรมลักษณะนี้ช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนกับคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนได้ฝึกทักษะพิเศษบางอย่างด้วยเทคนิคที่เรียกว่า การฝึกและการปฏิบัติ (Drill- and-Practice Program) คือ การฝึกทักษะซ้ำๆ กันจนผ่านเกณฑ์จึงฝึกขั้นสูงต่อไป ตัวอย่างทักษะที่สามารถฝึกด้วยโปรแกรมนี้ ได้แก่ การจับคู่สิ่งของ การใช้คำต่างๆ การฝึกสะกดคำ เป็นต้น 1.2 โปรแกรมแบบทบทวน (Tutorial Program) โปรแกรมแบบนี้ค่อนข้างจะมีบทบาทในการใช้น้อย เพราะเราจะใช้เป็นเพียงโปรแกรมเพื่อนำเข้าสู่ทักษะใหญ่ในรายวิชาเสียมากกว่าที่จะเน้นการฝึกทักษะส่วนย่อย และใช้ทบทวนหรือสรุปบทเรียนบางเรื่องในรายวิชาเท่านั้น 2. แบบปัญญาประดิษฐ์ (Artifical-Intelligent-Based) "ปัญญาประดิษฐ์" มาจากภาษาอังกฤษว่า "Artificial Intelligent" หมายถึง การทำให้คอมพิวเตอร์มีความรู้และกระบวนการคิดแก้ปัญหา โดยการเลียนแบบมนุษย์คล้ายกับคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนแบบบทเรียนโปรแกรม แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างกันคือ สามารถแก้ปัญหาและแสดงกระบวนการในบางเรื่องได้โดยการเลียนแบบความคิดมนุษย์ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น 3. แบบสถานการณ์จำลอง (Simulation-Oriented CAI) คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนแบบนี้ จะจำลองสถานการณ์ สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างๆ ให้นักเรียน จนได้ฝึกทักษะอย่างใกล้เคียงกับความจริง 4. แบบใช้เป็นเครื่องมือ (Tool Applications) การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือก็สามารถเพิ่มคุณค่าในการเรียนการสอนได้ เช่น เป็นเครื่องมือช่วยในการพิมพ์แทนพิมพ์ดีด การคำนวณ ทดสอบ และใช้วิเคราะห์ค่าทางสถิติ เป็นต้น
ดร. ไชยยศ เรืองสุวรรณ
*******คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีใช้และผลิตกันอยู่ทั่วไป สามารถจำแนกเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามลักษณะการใช้งาน และวัตถุประสงค์ของเนื้อหาวิชา ได้ดังนี้
1. การฝึกทักษะ หรือการฝึกปฏิบัติ ( Drill and Practice)
ใช้สำหรับฝึกหัด ทบทวน เรื่องที่เรียนผ่านมาแล้วเพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อเพิ่มความชำนาญความแม่นยำในเนื้อหาโดยคอมพิวเตอร์จะนำเสนอในรูปแบบของแบบฝึกหัดหรือโจทย์ทีละข้อเพื่อเปรียบ เทียบ คำตอบของนักเรียนกับคำตอบที่ถูกต้อง ถ้าผู้เรียนตอบผิดในคำตอบแรก คอมพิวเตอร์จะถามในคำถามเดิม ถ้า ครั้งที่สอง ยังตอบผิด คอมพิวเตอร์จะเฉลยคำตอบ แล้วจึงจะเสนอแบบฝึกหัดหรือโจทย์ในข้อถัดไปหรือถามคำถาม เดิม จนกว่า ผู้เรียนจะตอบถูก จึงจะเสนอคำถามในข้อถัดไป โปรแกรมการฝึกทักษะจึงเป็นที่นิยมแพร่หลายที่สุด เพราะเป็นบทเรียน ที่สร้างง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก
2. การจำลองสถานการณ์ ( Simmulation )
เป็นการจำลองสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงให้นักเรียนศึกษาอย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ใช้ทักษะในการตัดสินใจแบบต่าง ๆ และเห็นผลของการตัดสินใจนั้น โปรแกรมประเภทนี้ มักจะใช้ในการ ฝึก ปฏิบัติ สิ่งที่ไม่อาจฝึกด้วยของจริง เช่น การทดลองที่เป็นอันตรายหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก การเสนอ สถานการณ์จำลองของระบบสุริยะจักรวาล มีดาวเคราะห์อะไรบ้างที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในโปรแกรมนี้จะมี การ หมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์ด้วย จึงเหมาะสำหรับการสอนเนื้อหาที่ศึกษาจากของจริงโดยตรง เป็นไปได้ยากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย หรือเป็นอันตราย
3. การสอนแบบเนื้อหา ( Tutorial ) มีลักษณะคล้ายบทเรียนโปรแกรมที่มีทั้งคำอธิบายและคำถามให้เลือกตอบได้ในขณะเรียน ซึ่งคำถามอาจเป็นในรูปแบบของแบบเลือกตอบ หรือเติมคำ หรือแบบถูกผิด และให้ผลย้อนกลับสำหรับผู้เรียนได้ทันที่ โปรแกรมประเภทนี้ส่วนมากใช้สอนในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์หรือมโนทัศน์ ( Concept) ใหม่ ๆ เป็น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ใช้สอนแทนครูเฉพาะในเนื้อหาบางตอน โดยเสนอเนื้อหาความรู้เป็นเนื้อหาย่อย ๆแก่ผู้เรียน นักเรียนจะได้เรียนเนื้อหาที่มีคำถามแทรกอยู่เป็นระยะ ๆ โดยนักเรียนจะตอบไปตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ นักเรียนยังสามารถตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนอยู่โดยโปรแกรมบทเรียนจะตอบคำถามนั้น ๆ และประเมินคำตอบของนักเรียนที่บันทึกไว้ในการเสนอเนื้อหาบทเรียนใหม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคำตอบ ของนักเรียน ว่า มีความรู้ความเข้าใจเพียงใด ข้อดีของโปรแกรมนี้ คือ ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเรื่องที่ตนถนัด และตามความ สามารถ ของผู้เรียน เพราะลักษณะของบทเรียนจะแยกออกเป็นตอนย่อย ๆ
4. การทดสอบ ( Testing )
เป็นการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการทดสอบ โดยให้ผู้เรียนทำการสอบ แบบมีปฏิสัมพันธ์ กับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการวัดผลการเรียนการสอน ซึ่งทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้น และน่าสนใจ โดย คอมพิวเตอร์จะเสนอคำถามทีละข้อซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกตอบคำถามข้อใดก่อนหลังก็ได้ และท้ายที่สุด โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะตัดสินคำตอบทั้งหมดให้กับผู้เรียน แจ้งผลคะแนนและจัดลำดับให้ทราบทันที อีกทั้งยังสามารถบันทึกผลคะแนนเพื่อให้ทราบความก้าวหน้าอีกด้วย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
5. เกมเพื่อการสอน ( Instructional Game)
เป็นการใช้เกมเพื่อการสอนที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่มาก เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความ อยากเรียนผู้เรียนจึงได้รับความรู้ ทักษะ และความสนุกสนานไปในตัว บทเรียนแบบนี้มีคุณประโยชน์คล้ายกับ แบบ สถานการณ์จำลองตรงที่ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และปัญหาที่เสนอให้ทั้งหมด บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้เป็นบทเรียนและเครื่องมือประกอบการสอนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งให้ ความตื่นเต้น สนุกสนาน แต่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนในการเรียนรู้
6. การแก้ปัญหา (Problem-Solving )
เป็นการฝึกให้ผู้เรียนได้รู้จักคิด รู้จักการตัดสินใจ โดยมีการกำหนดเกณฑ์ให้ผู้เรียนเรียนไปตามเกณฑ์นั้นโปรแกรมการแก้ปัญหานี้ แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ โปรแกรมที่ให้ ผู้เรียนเขียนเอง และโปรแกรมที่มีผู้เขียนไว้แล้ว เพื่อช่วยผู้เรียนในการแก้ปัญหา โปรแกรมที่ผู้เรียนเขียนเองจะกำหนดปัญหาและเขียนโปรแกรม สำหรับ การแก้ปัญหานั้น โดยที่คอมพิวเตอร์จะช่วยในการคิดคำนวณและหาคำตอบที่ถูกต้องให้ แต่ถ้าเป็นการแก้ปัญหา โดยใช้โปรแกรมที่มีผู้เขียนไว้แล้ว คอมพิวเตอร์จะทำการคำนวณขณะที่ผู้เรียนเป็นผู้จัดการกับปัญหาเหล่านั้น
สรุป การสร้างและการนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้น ผู้สอนต้องศึกษารายละเอียด และ ลักษณะ เฉพาะอย่าง ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแต่ละรูปแบบให้ดีว่ามีคุณลักษณะเด่นในด้านใด โดยคำนึงถึง จุดประสงค์ ในการเรียนการสอนเป็นหลัก รวมถึงลักษณะเนื้อหาวิชา และความพร้อมของผู้เรียนด้วย คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ไม่สามารถสอนแทนครูได้ ทั้งหมดซึ่งอาจเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นตามที่ได้เสนอเนื้อหาไปแล้ว อย่างไรก็ตามการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนต้องพัฒนาให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด และประยุกต์เอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการศึกษา อย่างเหมาะสมและคุ้มค่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้กำลังเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ถ้าผู้อ่านได้ศึกษารายละเอียด เพื่อความเข้าใจพื้นฐานและหลักการของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแล้วเชื่อแน่ว่าคุณจะเป็นผู้สร้างคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่เชี่ยวชาญ คนหนึ่ง
http://www.rmu.ac.th/
*****คุณลักษณะที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 4 ประการ ได้แก่
1. สารสนเทศ (Information) หมายถึง เนื้อหาสาระที่ได้รับการเรียบเรียง ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือได้รับทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ผู้สร้างได้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ การนำเสนออาจเป็นไปในลักษณะทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ ทางตรงได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทติวเตอร์ เช่นการอ่าน จำ ทำความเข้าใจ ฝึกฝน ตัวอย่างการนำเสนอในทางอ้อมได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทเกมและการจำลอง
2. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individualization) การตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล คือลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บุคคลแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันทางการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นสื่อประเภทหนึ่งจึงต้องได้รับการออกแบบให้มีลักษณะที่ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลให้มากที่สุด
3. การโต้ตอบ (Interaction) คือ การมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการเรียน การสอนรูปแบบที่ดีที่สุดก็คือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนได้มากที่สุด การให้ผลป้อนกลับโดยทันที (Immediate Feedback)ผลป้อนกลับหรือการให้คำตอบนี้ถือเป็นการเสริมแรงอย่างหนึ่ง การให้ผลป้อนกลับแก่ผู้เรียนในทันทีหมายรวมไปถึงการที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สมบูรณ์จะต้องมีการ ทดสอบหรือประเมินความเข้าใจของผู้เรียนในเนื้อหาหรือทักษะต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ดร. ไชยยศ เรืองสุวรรณ
*****คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนในประเทศไทย ครรชิต มาลัยวงศ์ (2534 : 8) กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวในการนำคอมพิวเตอร์ มาใช้ช่วยการเรียนการสอนนั้น เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากในหมู่ครูอาจารย์และนักคอมพิวเตอร์ หลายกลุ่ม การเป็นเช่นนี้ นับว่าเป็นไปตามธรรมชาติเพราะขณะนี้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีราคาถูกกว่าเมื่อหลายปีก่อน ความสามารถทางด้านกราฟิก และเสียงก็ดีกว่า โปรแกรมต่างๆ มีผู้ผลิตขึ้นจำหน่วย มีคุณลักษณะที่เด่นมากขึ้น อำนวยให้แนวคิดในการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน ชัดเจนขึ้น และจะทำจริงในเชิงปฏิบัติ
ดร. ไชยยศ เรืองสุวรรณ
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
เวิร์ดโปรเซสเซอร์
ลักษณะโดยทั่วไปของเวิร์ดโปรเซสเซอร์ให้เราลองนึกถึงการตรวจแก้ไขหนึ่งครั้ง ก็หมายถึงจะต้องนำเอกสารนั้นกลับไปพิมพ์ใหม่เกือบทั้งหมดอีกหนึ่งชุด ดังนั้นยิ่งมีการตรวจแก้ไขหลายครั้งเท่าใด ก็ยิ่งจะต้องพิมพ์เอกสารนั้นใหม่เท่าจำนวนครั้งของการตรวจแก้ไข แม้ว่าในบางครั้งจะมีการแก้ไขเพียงบางส่วนของเอกสารก็ย่อมจะส่งผลต่อวรรคตอนและรูปแบบของเอกสารเกือบทั้งหน้าหรือทั้งชุด ทำให้ข้อจำกัดอันสำคัญของการตรวจแก้ไขเอกสารอยู่ที่การพิมพ์ใหม่ ถ้าลดข้อจำกัดนี้ลงได้ เราก็จะสามารถเพิ่มคุณภาพของเอกสารได้อีกมาก ทั้งยังเป็นการประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียไปกับการพิมพ์ใหม่อีกด้วยความคิดในการลดข้อจำกัดข้างต้น จะทำได้ก็โดยที่เราจะต้องแก้ไขเอกสารบางส่วนและให้ส่วนเดิมปะติดปะต่อเข้ากันได้เพื่อนำมาใช้ใหม่ ความคิดนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าใช้เครื่องพิมพ์ดีด แต่สามารถเป็นความจริงได้ถ้าใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการเอกสาร โดยโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ จะทำให้เราสามารถพิมพ์ตัดต่อ แก้ไข ลบ ย้าย เปลี่ยนแปลงข้อความและอื่น ๆ อีกหลายประการ ทำให้ได้เอกสารที่มีคุณภาพโดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์เอกสารนั้นใหม่เมื่อมีการตรวจแก้ไขเวิร์ดโปรเซสเซอร์คืออะไรเวิร์ดโปรเซสเซอร์ เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีใช้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกขนาด แต่สำหรับไมโครคอมพิวเตอร์แล้วการใช้เวิร์ดโปรเซสเซอร์เป็นที่นิยมแพร่หลายมากในกรณีนี้ เราสามารถจำแนกไมโครคอมพิวเตอร์ได้เลย ว่ามีอยู่ 2 ประเภท คือ
1) แบบที่ใช้งานกับโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์เพียงอย่างเดียว
2) แบบที่ใช้งานได้กับทั้งเวิร์ดโปรเซสเซอร์และโปรแกรมทั่วไป ซึ่งคอมพิวเตอร์ทั้งสองประเภทจะคล้ายคลึงกันในด้านอุปกรณ์ อันได้แก่ หน่วยประมวลผลแป้นพิมพ์ จอภาพ ระบบเก็บข้อมูลและเครื่องพิมพ์ แต่เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับงานเวิร์ดโปรเซสเซอร์โดยตรงนั้น จะแตกต่างจากไมโครคอมพิวเตอร์ทั่วไปตรงที่มีอุปกรณ์บางอย่างได้รับการออกแบบ เพื่อใช้งานเวิร์ดโปรเซสเซอร์โดยเฉพาะ เช่น แป้นพิมพ์ จอภาพ เป็นต้น นอกเหนือจากนั้น ก็คล้ายคลึงกับไมโครคอมพิวเตอร์ทั่วไป
การทำงานของเวิดร์โปรเซสเซอร์
หน้าที่สำคัญของเวิร์ดโปรเซสเซอร์มี 2 ประการ คือ แก้ไขเอกสาร (Editing)และจัดรูปแบบเอกสาร(Formatting)ในการแก้ไขเอกสารนั้นผู้ใช้สามารถพิมพ์ เพิ่ม ลบ ตัดต่อและดัดแปลงแก้ไขเอกสารได้ ส่วนจัดรูปแบบเอกสารนั้นผู้ใช้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงย่อหน้า เพิ่มหรือลดความกว้างของคอลัมน์ (Column) เพิ่มหรือลดระยะห่างระหว่างข้อความและอื่น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือต่อเติม จะปรากฏให้เห็นบนจอภาพลงบนแผ่นกระดาษโดยเครื่องพิมพ์ (Printer) ซึ่งเครื่องพิมพ์จะพิมพ์เอกสารที่เตรียมไว้ได้โดยถูกต้องและตรงตามที่ต้องการ นอกจากนั้นเครื่องพิมพ์โดยทั่วไปยังสามารถพิมพ์ตัวอักษรพิเศษได้ เช่น ตัวขยาย ตัวหนา ตัวเอน ตัวบีบ หรือการขีดเส้นใต้ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเน้นข้อความที่ต้องการในเอกสารได้เป็นอย่างดี ส่วนความเร็วในการพิมพ์นั้น จะขึ้นอยู่กับขนาดและรุ่นของเครื่องพิมพ์
หน้าที่อื่นๆ
1. การค้นหาและแทนที่คำ (Search and Replace) เวิร์ดโปรเซสเซอร์จะสามารถทำหน้าที่ค้นหาคำหรือข้อความที่ผู้ใช้สั่งให้ค้นหาได้ และหากต้องการให้แทนที่คำนั้น ด้วยคำหรือข้อความใด ๆก็สามารถทำได้ โดยเวิร์ดโปรเซสเซอร์จะจัดการให้โดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่นในเอกสารที่กำลังตรวจแก้ไขมีคำว่า "ยอ" อยู่ประมาณ 100 คำเราต้องการเปลี่ยนให้เป็นคำว่า "ยอด" โปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ ก็จะจัดการให้ตามที่ต้องการในชั่วพริบตา โดยใช้วิธีการค้นหาและแทนที่คำของเวิร์ดโปรเซสเซอร์นั่นเอง
2. การตรวจสอบการสะกดคำ (Spelling Check) เป็นการเปรียบเทียบคำในเอกสารที่กำลังตรวจแก้ไขอยู่ กับพจนานุกรมที่เก็บในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ ถ้าพบว่า คำใดพิมพ์ไม่ถูกต้อง คอมพิวเตอร์ก็จะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบทางหน้าจอ และทำการแก้ไขให้เมื่อต้องการ ช่วยให้การพิมพ์เอกสารไม่ผิดพลาดและสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
3. การออกจดหมายเวียน (Mailmerg) ในการเก็บข้อมูลไว้บนแผ่นดิสก์ เราจะจัดเก็บไว้เป็นกลุ่มข้อมูล หรือที่เรียกว่า ไฟล์ (File) ในการทำจดหมายเวียนถึงบุคลากรในหน่วยงานเราสามารถทำได้โดยเก็บชื่อ ตำแหน่ง และแผนกของบุคลากรในหน่วยงานไว้ในไฟล์หนึ่ง แล้วสร้างเอกสารประเภทจดหมายเพื่อการติดต่อกับบุคลากรในหน่วยงานไว้อีกไฟล์หนึ่ง แต่ในส่วนที่ต้องการใส่ชื่อ ตำแหน่ง และแผนก เราจะเว้นไว้ให้โปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ทำให้ จากนั้น ก็ทำการออกจดหมายเวียน จดหมายที่ได้จะเจาะจงถึงบุคลากรนั้น ๆด้วยความสามารถของเวิร์ดโปรเซสเซอร์ข้อนี้ จึงทำให้การออกจดหมายเวียนเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมาก
โปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์เพื่อการศึกษา
ความเป็นมาตรฐานในปัจจุบันโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทเวิร์ดโปรเซสเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากและเป็นต้นแบบของโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ทั้งหลายในปัจจุบัน คือ โปรแกรมไมโครซอร์ฟเวิร์ด เป็นโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ที่มีลักษณะการทำงานที่สมบูรณ์แบบ จนเป็นที่ยอมรับในวงการธุรกิจ และยอมรับว่าเป็น "มาตรฐานอุตสาหกรรม"ระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จัดระบบการทำงานของส่วนต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่หน่วยความจำ ลำดับของข้อมูล การเคลื่อนย้ายข้อมูลในหน่วยความจำ การแสดงผล การทำงานของ CPU ฯลฯ เหล่านี้ จะต้องอาศัยระบบปฏิบัติการช่วยจัดหน้าที่การทำงานให้ทั้งสิ้น ระบบปฏิบัติการจึงเปรียบเสมือนเป็นผู้จัดการของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานต่าง ๆ ได้ตามเป้าหมาย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะทำงานได้บนคอมพิวเตอร์เครื่องใด ๆ ก็จะต้องอาศัยระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น ๆ การนำเอาโปรแกรมสำหรับระบบปฏิบัติการหนึ่งไปใช้กับระบบปฏิบัติการอื่นจึงเป็นเรื่องยาก นอกเสียจากต้องทำการพัฒนาโปรแกรมนั้นใหม่ให้เหมาะสมกับระบบปฏิบัติการที่จะทำงานร่วมกัน
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากนะค่ะ ที่ทำให้นู๋เล็กมีงานส่งอาจารย์ ขอยคุณมาดค่ะ ขอบคุณจริงๆ
แสดงความคิดเห็น